วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ถ้ามีคำถามว่าจำเป็นต้องมีคู่ไหม? คุณจะตอบอย่างไร

ถ้ามีคำถามว่าจำเป็นต้องมีคู่ไหม?ผมคงตอบว่าจำเป็นเพราะทุกคนต้องมีครอบครัว แต่ตอนนี้อายุ 39 ปีแล้วยังไม่มีครอบครัวเลย อาจเป็นเพราะตอนที่มีพร้อมทุกอย่างไม่ได้มีความสนใจที่จะหาคู่ แต่ตอนนี้อยากมีคู่แต่ไม่พร้อม เคยคิดดูว่าถ้าคนเราจะแต่งงานได้ต้องมีปัจจัยอื่นไหมนอกจากความรัก ผมว่ามีอีกมากมาย และที่สำคัญที่สุดก็คือเงิน อย่างเช่น จะต้องเสียสินสอดเท่าไรในการขอสาว น่าจะประมาณ 300,000-500,000 บาท ในความคิดของผมไม่ชอบเรื่องเงินสินสอดเพราะเหมือนกับการซื้อขายคนมากกว่า ทำไมชาติตะวันตกไม่มีค่าสินสอดเลย เขาก็อยู่กันได้ ผมมีเพื่อนฝรั่งมารักสาวไทย พอไปขอสาวไทยฝ่ายหญิงเรียกค่าสินสอดแพงมาก เขาบอกผมว่าเมืองไทยการแต่งงานคือการซื้อขายหรือ ดังนั้นเมื่อเขาแต่งงานกับคนไทย เขาจะถือว่าเขาเป็นเจ้าของชีวิตคนคนนั้นเพราะเขาแลกมาด้วยเงินสินสอด มาพูดกันเรื่องความรักกัน ถ้าเราจะรักกันปัจจัยแรก น่าจะเป็นหน้าตา ปัจจัยที่สองก็คือการเงิน ถ้ายังมีอายุระหว่าง 20-29ปี จะเลือกหน้าตากับการเงินไปพร้อมกัน ถ้า 30-35ปี น่าจะเลือกการเงินเป็นหลัก ถ้าเกิน 35ปีแล้ว ก็คงไปเลือกมาก ขอไม่ให้เป็นเกย์หรือทอมก็พอ ผู้ชายชอบผู้หญิงจาก หน้าตา นิสัย ฐานะ ความฉลาด ตามลำดับ ผู้หญิงชอบผู้ชายจาก ฐานะ ความฉลาด หน้าตา นิสัย ตามลำดับ ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นขอผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งอาจจะไม่ถูกหรือผิดเสมอไป

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความสำเร็จมากขึ้น แต่ความสุขน้อยลง

วันนี้เป็นวันหนึ่งที่ผมประสบความสำเร็จในชีวิต ซึ่งมันควรเป็นวันที่ผมมีความสุข แต่ผมกลับรู้สึกเฉยๆเท่านั้น อาจเป็นเพราะว่าปีนี้ไม่มีคนที่ยินดีกับความสำเร็จของเรา ท่านผู้นั้นคือแม่ผมเอง เพราะท่านเสียชีวิตแล้ว ทุกครั้งที่ผมประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนหรือการงาน แม่ผมจะดีใจกับผมเสมอไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้ผมมีความสุขมากในช่วงเวลานั้น หรือแม้แต่เวลาที่ผมผิดหวังท่านก็ให้กำลังผมตลอดเวลา ทำให้ผมมีความสุขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อแม่เป็นกำลังใจให้ตลอดแต่ในวันนี้ ผมประสบความเร็จที่มากกว่าในอดีต แต่กลับรู้สึกว่าความสุขน้อยลง ดังนั้นถ้าเรามีโอกาสแชร์ความสุขกับคนที่เรารักและรักเราตอนที่ท่านยังอยู่ จงรักษาและทำให้ความสุขเพิ่มขึ้นมากๆ นะครับ เพราะถ้าท่านจากไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะเเชร์ความสุขกับใคร

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นประจำปี 2553 (มีการเปลี่ยนแปลง)

จะมีการแบ่งเป็น 5 ระดับ
N1 จะใกล้เคียงกับ ระดับ 1 ในปัจจุบัน แต่ยากกว่าเล็กน้อย
N2 จะใกล้เคียงกับ ระดับ 2 ในปัจจุบัน
N3 จะอยู่ระหว่าง ระดับ 2 และ ระดับ 3 ในปัจจุบัน
N4 จะใกล้เคียงกับ ระดับ 3 ในปัจจุบัน
N5 จะใกล้เคียงกับ ระดับ 4 ในปัจจุบัน
การสอบจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
1. การเขียน ประกอบด้วย คันจิ ศัพท์ ไวยากรณ์ การอ่าน
2. การฟัง ประกอบ ด้วยมีภาพ และไม่มีภาพ

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มาเรียนภาษาญี่ปุ่นกันเถอะ

เว็ปนี้เป็นเว็ปคุณภาพดีเยี่ยมระดับเกรด A เหมาะสมสำหรับผู้เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น หรือผู้เรียนระดับกลาง มีบทสนทนาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน 100 บทความ เว็ปเป็นภาษาไทยและภาษาอ่านได้ถึง 17 ภาษา เชิญเข้าไปดูรายละเอียดที่ทางเว็ปนี้ครับ http://www.nhk.or.jp/lesson/thai/index.html

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความรักของแม่ กับคำขอโทษของลูกที่ไม่มีโอกาสได้พูด

การที่เขียนบล็อกนี้เหตุผลคืออยากบอกแหล่งความรู้และบอกทุกๆคน จะได้มีประโยชน์บาง อีกเหตุผลหนึ่งอยากนำประสบการณ์ต้วเองมาเล่าให้ฟังจะได้รักแม่มากขึ้นครับ ขณะที่เขียนนี้แม่ผมเสียชีวิตแล้วครับ แต่ความรักแม่ยังอยู่กับผมรวมถึงความผิดที่ได้ทำไว้กับแม่ด้วย จึงเล่ามาเพื่อให้ทำช่วงเวลานี้ให้ดีทีสุดครับ
เรื่องที่หนึ่ง เกิดขึ้นประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว เช้าวันปีใหม่ ผมถูกแม่ดุเรื่องอะไรจำไม่ได้แล้ว ผมโกรธ ผมเลยออกจากบ้านไปขับรถเล่น และชวนเพื่อนไปเที่ยวที่หัวหินเพื่อผ่อนคลาย ผมมีเพื่อนที่นั้น จึงเที่ยวที่นั้นทั้งวัน ออกจากหัวหินประมาณ 3 ทุ่มกว่า มาส่งเพื่อนที่สมุทรสาครประมาณเที่ยงคืน กะว่าจะกลับบ้านนอนเพราะเหนื่อยแล้ว ขณะนั้นมีโทรศัพท์จากที่บ้านดังขึ้นที่โทรศัพท์ของผม ผมรับสาย มีเสียงสั่นคล้ายกับจะร้องไห้พูดขึ้นว่า น้องอยู่ไหนกลับบ้านเถอะ มาม้าขอโทษ เสียงนั้นคือเสียงแม่ผม (แม่ผมเรียกผมว่าน้องเสมอครับ) ผมนิ่งสักครู่บอกว่าจะกลับตอนนี้ ตั้งแต่แม่ผมทะเลาะกันในตอนเช้า จนถึงเที่ยงคืนแม่ไม่ได้นอนเลยคิดว่าตัวเองผิด ทั้งที่เรื่องทั้งหมด ผมผิดเอง จนทุกวันนี้ยังไม่มีโอกาส ขอโทษและคงไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว
เรื่องที่สอง เกิดขึ้นประมาณปลายปีที่แล้ว แม่ผมป่วยแต่สามารถเดินได้เล็กน้อยแต่ช้า ประมาณ หนึ่งทุ่มท่านเดินไปเคาะประตูเพื่อเรียกผมกินอะไรสักอย่าง ตอนนั้นเล่นอินเตอร์เน็ตในห้อง ผมเดินไปเปิดประตู ปรากฏว่าประตูไปโดนหัวแม่ แม่ผมร้องว่าเจ็บมาก และเดินไปนั่ง ผมเดินไปขอโทษแบบที่เล่นที่จริง ผมรู้ว่าท่านเจ็บมากแต่ไม่โกรธผมเลย
เรื่องที่สาม เกิดขึ้นประมาณเดือนเมษายน ปีนี้ครับ แม่ผมผ่าตัดสมองประมาณกุมภาพันธ์ และอยู่ ห้อง ไอซียู ตลอด ทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยม ผมพูดอยากให้ฟื้นเร็ว รักท่านมากๆ แต่ท่านไม่รับรู้แล้ว มีแต่น้ำตาลที่ไหลออกมาบางครั้งที่แสดงถึงความหวังที่จะฟื้นแต่มันก็ไม่เกิด แม่ผมจำเป็นต้องเปลี่ยนโรงพยาบาล หมอที่โรงพยาบาลบอกว่าแม่ผมจะมีชีวิตได้ 48 ชั่วโมงเท่านั้น แต่เราก็ผ่านช่วงนั้นมาได้ และประมาณ 1 สัปดาห์ ผ่านไป แม่ผมต้องย้ายโรงพยาบาลอีก เพื่ออยู่โรงพยาบาลใกล้บ้านจะได้ดูแลกันง่ายขึ้น ผมมาทำงานที่บริษัทตามปกติ น้องสาวโทรมาบอกย้ายเรียบร้อยแล้ว ผมกะว่าตอนเย็นจะไปเยี่ยม แต่ประมาณ 4 โมงเย็น น้องสาวผมโทรมาบอกอาการแม่แย่แล้ว ให้รีบมา ผมขึ้นรถมีโทรมาว่าแม่เสียแล้ว ผมไม่มีโอกาส ได้ดูท่านก่อนเสียชีวิตเลย ทุกครั้งที่ย้ายโรงพยาบาลผมจะไปด้วยเสมอ แต่ครั้งสุดท้ายผมขี้เกียจไปห่วงงานมากกว่า จนถึงวันสุดท้าย ก็ไม่มีโอกาสได้ขอโทษ
แม้แต่รถที่ผมขับตอนนี้แม่ผมนั่งไม่น่าเกิน 3 ครั้ง กลัวรถผมสกปรก ส่วนเพื่อนผมนั่งเป็นร้อยครั้งแล้ว
ดังนั้นอย่าได้ทะเลาะกับคนที่รักคุณที่สุดในชีวิต หรือ ทำให้เขาเจ็บ เพราะคุณจะไม่มีโอกาสขอโทษอีกเลย